ธุรกิจที่บูมที่สุดก็ย่อมมีข้อเสียบ้างเป็นธรรมดา
กรณีศึกษา "ข้อด้อย" ของธุรกิจเอเจนซี่ศัลยกรรมเกาหลี?
1.เป็นธุรกิจที่ทำได้ยาก เพราะต้องลงทุนสูงถึง 3~6 ล้านบาท และต้องจ้างทีมงานจำนวนมาก ทำให้ผู้ที่จะทำธุรกิจนี้ได้ยากความเสี่ยงสูง และมีค่าใช้จ่าย Fixed Cost รายเดือน
ยกเว้นการได้รับสิทธิ์รวมเป็นคู่ค้ากับบริษัท Oppa Me (Global) กำจัด ไม่ต้องลงทุนจดทะเบียน มีค่าใช้จ่ายเฉพาะค่าเทรนนิ่ง และบริการทีมงานส่วนกลางให้บริการ แต่โควต้าการรับคู่ค้าในประเทศไทยมีเพียง 250 แบรนด์ ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องของนักธุรกิจจำนวนมาก
2.ท่านที่มีความชื่นชอบการทำธุรกิจรูปแบบ MLM ธุรกิจนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ เพราะไม่ใช่ธุรกิจตัวแทนหรือเครือข่าย กล่าวคือเป็นธุรกิจที่ "เป็นแบรนด์ธุรกิจ" ของเจ้าของผู้เปิดแบรนด์ธุรกิจ ไม่ได้อยู่ภายใต้ใคร ซึ่งอาจจะทำในนามนิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดาก็ได้ (กรณีทำนามบุคคลธรรมดาต้องมีหนังสือคู่ค้า)
3.มีจำนวนเอเจนซี่ศัลยกรรมจำนวนน้อย โดยประมาณ 100~200 เอเจนซี่เมื่อเทียบกับปริมาณลูกค้า ที่สนใจศัลยกรรมกว่า 8~12 ล้านคน เมื่อมีลูกค้ามากเกินไป อาจจะทำให้การให้บริการที่ล่าช้า และต้องจองคิวผ่าตัดล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน ซึ่งเพดาลในการผ่าตัดปัจจุบันอยู่ 200-500 เคส/วัน
4.ต้องอัพเดตความรู้ทางการแพทย์ศัลยกรรมค่อนข้างบ่อย เนื่องจากมีการพัฒนาเทคนิคทางการแพทย์อยู่เสมอ ทำให้ต้องพัฒนาตัวเองและธุรกิจอยู่ตลอดเวลา
5.ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากเป็นค่าคอมมิชชั่นที่ได้รับจากการให้บริการ อาจทำให้ผลกำไรเหลือน้อยลง อาทิ ได้รับค่าคอมมิชชั่น 1 แสนบาท จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7,000 บาท
6.รพ.ตอบรับ "ดีลธุรกิจ" ค่อนข้างน้อย หากไม่มีประสบการณ์ส่งลูกค้าไปศัลยกรรมที่เกาหลี ก็ยากที่ รพ.จะร่วมเซ็นสัญญาในปีถัดไป
ยกเว้นการได้รับสิทธิ์รวมเป็นคู่ค้ากับบริษัท Oppa Me (Global) กำจัด ที่มีดีล รพ.ชั้นนำมากกว่า 40 แห่งมากที่สุดในเอเชีย และมีลูกค้าปริมาณลูกค้าส่งให้ รพ.เกาหลี มากที่สุดในประเทศไทย
ถึงแม้จะเป็น #ธุรกิจมาแรง และเป็น Blue Ocean แต่ก็ตามมาด้วย "ความยาก" เพราะเป็นธุรกิจระหว่างประเทศที่ลงทุนสูง ทำให้แม้มีคนสนใจทำเยอะ แต่ก็มีเพียงไม่กี่ท่านเท่านั้นที่สามารถเริ่มต้นทำธุรกิจนี้ได้ จึงทำให้ธุรกิจนี้ ห่างไกลจาก Red Ocean อย่างมาก
และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าธุรกิจก็ย่อมมีคู่แข่ง เพราะเป็นปัจจัยทำสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโต
Comments